ในบรรยากาศนั้นๆถ้าแสงสวยอยู่แล้ว การวัดแสงให้ถูกต้อง ก็คือทำให้ภาพถ่ายมีแสงเหมือนบรรยากาศจริง
(หรือจะเหยาะผงชูรสเพิ่มลดแสงอีก ก็ตามใจชอบ ถ้าคิดว่าทำแล้วสวยกว่าบรรยากาศแสงจริงที่สวยอยู่แล้ว)
ใน
บรรยากาศแสงนั้นๆถ้าแสงมันไม่สวย หรือแสงมันธรรมดา
เมื่อวัดแสงที่ถูกต้องแล้ว
ก็ทำการชดเชยแสง ให้มันต่างไปจากบรรยากาศจริงๆ
หรือไม่ก็เติมแสงเข้าไป เช่นใช่แผ่นรีเฟลค การใช้แฟลช ฯลฯ หรือไม่ก็บังแสง
เช่นใช้แผ่นวัสดุทึบแสง โปร่งแสง บังแสงบางช่วงบางตอนของพื้นที่ นี่คือเคล็ดลับของ “เซียนถ่ายภาพ"
วัดแสงอย่างไร ถึงจะเรียกว่าวัดแสงถูกต้อง ?
พอ ดีมีคนมาปรึกษาเรื่องวัดแสง ว่าที่ถูกต้องเป็นอย่างไรขี้เกียจพิมพ์ใหม่ ก็จะไปยกมาจากบางตอนของเนื้อหาของม้วนเดียวเซียนเล่มใหม่ ที่กำลังทำใหม่หมดทั้งเล่ม มาให้ดู
-----------------------------
ปริมาณของแสง Exposure value (EV)
ปริมาณของแสงที่กำหนดลงในภาพถ่ายเป็นเงื่อนไขสำคัญ ที่จะสื่อความหมายของอารมณ์ เรื่องราว
-----------------------------
ถูกต้อง VS ถูกใจ ในโลกของศิลปะ ความงามของปริมาณแสงบนภาพถ่ายอาจจะทั้งใช่หรือไม่ใช่ลักษณะภาพถ่ายที่มีปริมาณแสง“ถูกต้อง” “พอดี Normal” เพราะแท้จริงภาพถ่ายเชิงศิลปะนั้น ขึ้นอยู่กับการทำอย่างไรจึงจะทำให้ภาพถ่ายได้รับปริมาณแสงที่ “ถูกใจ” หรือ “พอใจ” ทั้งคนถ่ายภาพและคนชมภาพ จึงเป็นเรื่องของคนถ่ายภาพต้องตัดสินใจเองว่า ต้องการสื่อความหมายภาพด้วยการใช้ปริมาณแสงเช่นใด ---------------- ต้องรู้ก่อนว่า “ถูกต้อง” อยู่ตรงไหน แล้วเปลี่ยนสภาพแสงให้ “ถูกใจ” ----------------
Exposure Value (EV)
คือค่าของปริมาณแสงจำนวนหนึ่ง ซึ่งต้องการการจับคู่กันของขนาดรูรับแสงและความไวชัตเตอร์คู่ใดคู่หนึ่งแล้ว ทำให้ปริมาณแสงจำนวนนี้สร้างภาพที่มีลักษณะแสงพอดี กล้องทุกตัวใช้หลักการคำนวณตามกร๊าฟของ EV ในการวัดแสงและคำนวณปริมาณของแสง ซึ่งจะไม่ปรากฎเป็นตัวเลขโชว์ให้เห็นในกล้อง เพราะกล้องถ่ายภาพประมวลผลเป็น EV แล้วแสดงผ่านให้เห็นผู้ใช้เข้าใจได้ง่ายกว่าด้วยการแสดงเป็นค่า stop ของขนาดรูรับแสงและความไวชัตเตอร์ใน ISO ต่างๆ นั่นเอง
การกำหนดตั้งค่าให้กล้องถ่ายภาพมีปริมาณแสง (EV) ตกลงบนตำแหน่งโซนที่ 5
โดยมองหาตำแหน่งของพื้นผิววัตถุใดๆ ซึ่งมีค่าเท่าโซนที่ 5 หรือเทียบเคียงใกล้เคียงกันกับโซนที่ 5 ให้มากที่สุด ปรับขนาดรูรับแสง และ/หรือปรับขนาดความไวชัตเตอร์ จนกระทั่งตำแหน่ง Mark ในช่องมองภาพ(หรือจอ LCD) บน Bar Scale ตรงกับเลข 0 และใช้ค่าแสงที่ปรับตั้งไว้นี้ถ่ายภาพ จะทำให้บรรยากาศโดยรวมทั่วไปในกรอบภาพมีลักษณะใกล้เคียงกับบรรยากาศแสงจริงๆ ที่ตามองเห็นในขณะนั้นได้มากที่สุด โดยเฉพาะอย่างยิ่งคือพื้นผิววัตถุใดที่มีความสว่างเท่าโซนที่ 5 จะปรากฎบนภาพถ่ายว่ามีลักษณะปริมาณแสงใกล้เคียงสภาพแสงจริงๆ ของพื้นผิววัตถุนั้น
กระดาษเทากลาง Gray Card เป็นกระดาษที่ผลิตออกมาโดยพิมพ์สีเทาซึ่งเป็นน้ำหนักสีที่คำนวณแล้วว่า จะทำให้แสงซึ่งสะท้อนกลับออกไปจาก Gray Card มีปริมาณประมาณ 18 % ของลำแสงที่ล่องลงมากระทบ
กระดาษเทากลาง Gray Card เมื่อเทียบกับ Gray Scale คือ Zone 5
หากไม่สามารถหาวัตถุใดๆ ทั้งในกรอบภาพและนอกกรอบภาพซึ่งคาดว่าใกล้เคียงกับ Zone 5
วิธีสุดท้ายคือ หาวัตถุที่ใกล้เคียงในระดับรองๆ ลงไป แล้วพิจารณาว่าพื้นผิววัตถุนั้นสะท้อนแสงต่างจาก Zone 5 ไปทางสว่างหรือมืด มากน้อยไปกี่ลำดับของโซน
วิธีการนี้เรียกว่า ‘การชดเชยแสง’
ภาพในห้องแกเลอรี่ชุด จตุจักร ทุกภาพล้วนไม่ได้ถ่ายที่บาร์สเกลตรง “0”
ทุกภาพถูกชดเชยแสงให้มืดกว่าหรือสว่างกว่าที่กล้องวัดแสงได้ ก่อนกดชัตเตอร์ทุกครั้ง
ผมเคยสรุปว่า “คนที่วัดแสงเก่ง” ที่แท้ คือ “คนที่คาดเดาเก่งว่าเครื่องวัดแสงจะหลงทางวัดแสงผิดไปกี่สต็อปนั่นเอง”’ ใคร
ที่คาดเดาได้แม่นยำว่ากล้องวัดแสงผิดพลาดไปกี่สต็อป
นั่นคือจับเคล็ดลับของวิชาเซียนได้ ถ่ายภาพชดเชยแสงไปตามที่คาดนั้นแล้ว
จะได้ภาพแสงที่ถูกต้อง
แต่ เซียนเหนือเซียน คือ ถ่ายภาพให้แสงมากหรือน้อยกว่า“แสงที่ถูกต้อง”
อันที่จริง มันไม่ใช่วิทยายุทธลึกลับ ยากเย็นอย่างไรเลย เพียงทำความเข้าใจถึง “แสงเทากลาง” ทุกคนทำได้ |
วันเสาร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2555
วัดแสงให้ถูกต้อง โดย มังกรดำ
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น